วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ดื่มด่ำสายหมอกยามเช้า...สะพานประวัติศาสตร์(ท่าปาย)


          
        ทริปนี้ของผมหลังจากเมื่อคืนได้พักกางเต้นท์ รับลมหนาว...ดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าที่ดอยกิ่วลม ณ อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดังเรียบร้อยแล้ว...ก็เดินเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1095 มุ่งหน้าสู่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอนทันที... วันนี้จะสังเกตุเห็นรถที่วิ่งบนถนนมุ่งสู่ อ.ปาย จะคึกคักหนาแน่นเป็นพิเศษครับ...เพราะเป็นวันที่ผู้คนเริ่มหลั่งไหลไปเที่ยวอ.ปายจึงทำให้มีรถติดช่วงโค้ง...และช่วงขึ้นเขาเกือบตลอดเส้นทาง...ได้กลิ่นเหม็นของผ้าเบรคและครัชเป็นระยะ...(รถคันอื่นครับ) พอขับมาเรื่อยๆก่อนเข้าสู่ อ.ปาย ในกม.ที่ 88 เราก็ถึงสะพานประวัติศาสตร์ (ท่าปาย) เลยจอดรถลงไปถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกกันซักหน่อย...


           พอลงไปถ่ายรูปได้สักพักดูนาฬิกาเป็นเวลาบ่ายโมงกว่าๆแล้วครับ...คืนนี้เรายังไม่รู้เลยว่าจะพักกางเต้นท์กันที่ไหนดี ก็พอดีมองลงไปจากสะพานเห็นลานกางเต้นท์ ริมแม่น้ำ สงสัยเจ้าของพึ่งทำไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวใหม่ๆ ดูบรรยากาศเข้าท่าดีเลยตกลงพักที่ริมน้ำข้างสะพานท่าปายนี้แหละ ไม่ต้องเข้าไปพักใน อ.ปายหรอก เรากางเต้นท์ของเราเองครับ เสียค่าสถานที่ 150 บาทต่อเต้นท์ 1 หลัง(เดี๋ยวนี้ไม่ทราบว่าราคาเดิมหรือเปล่า) พอกางเต้นท์เสร็จก็ขับรถเข้าไปเที่ยวที่ ตัว อ.ปาย(ขอเล่ารายละเอียดเรื่องต่อไปครับ) พอเดินซื้อของที่ปายเสร็จเราก็กับที่พักที่สะพานท่าปาย...มาถึงเด็กๆก็มีกิจกรรมล่องแพไม้ไผ่ลำน้ำปายครับ ส่วนผู้ใหญ่ก็ประกอบอาหารนั่งดื่มเบียร์ชมวิวสะพาน และแม่น้ำปายสบายอุรา...บางขณะก็เดินขึ้นไปเดินเที่ยวชมบรรยากาศตอนเย็นของสะพาน...จะพบร้านกาแฟ coffee tea sapan ก็ตกแต่งได้เก๋เหมือนกันเลยพากันถ่ายรูปซะหน่อย แล้วเดินไปชมสินค้าที่ชาวบ้านชาวเขา เอามาขายริมทางส่วนมากก็ของที่ระลึกต่าง...



       สะพานประวัติศาสตร์(ท่าปาย)จากที่ได้อ่านประวัติดู...สร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี พ.ศ.2485 ครับโดยกองทหารญี่ปุ่น เพื่อใช้ข้ามแม่น้ำปายและลำเลียงเสบียงและอาวุธเข้าไปยังประเทศพม่า หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง อ.ปายจึงกลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง...โดยหลงเหลือสะพานแห่งนี้ไว้เป็นอนุสรณ์...



กิจกรรมล่องแพรไม้ไผ่ลำน้ำปาย

       พอตะวันชิงพลบ...อากาศก็เริ่มเย็นตัวลง...แต่พวกเรา"คนเดินทาง"ก็ยังนั่งจิบเบียร์เสวนาถึงบรรยากาศจากสถานที่ ที่เราท่องเที่ยวมา...มองดูรถที่วิ่งบนสะพานมุ่งหน้าสู่ "ปาย" อย่างไม่ขาดสาย จนน้ำค้างลงอย่างหนักจึงมุดเข้าเต้นท์นอน...เอาแรงสำหรับการเดินทางพรุ่งนี้ต่อไป




บรรยากาศแค้มป์ปิ้งข้างแม่น้ำปายริมสะพาน"ประวัติศาสตร์ท่าปาย"

       เช้ามืดผมได้ยินเสียงน้ำหยดเปาะแปะ จากหลังคาเต้นท์ จึงตื่น...ทั้งๆที่ใจยังอยากจะนอนต่อ แต่พอเปิดเต้นท์ออกมาก็ได้สัมผัสกับระอองหมอกอันขาวโพลน...ลอยอยู่หน้าเต้นท์และเหนือลำน้ำปาย...เป็นภาพประทับใจและสวยงาม จึงปลุกทุกคนให้ตื้นขึ้นมาสัมผัสกับบรรยากาศ ที่ผมได้พบในยามเช้า...แล้วพวกเราก็ได้สัมผัสและดื่มด่ำกับบรรยากาศพร้อมๆกัน...จัดเตรียมกาแฟ โอวัลตินและขนมปังทาแยม...ยืนกินนั่งกิน เพลินเพลินกับบรรยากาศยามเช้าที่สะพาน "ท่าปาย"...วันนี้เราพร้อมแล้วสำหรับการเดินหน้าท่องเที่ยวต่อไป...ถึงเวลาเก็บเต้นท์ขึ้นรถเดินทางกันต่อ...จุดหมายต่อไป "ปางอุ๋ง" ครับ










บรรยากาศยามเช้าบริเวณลานกางเต้นท์สะพาน"ท่าปาย"






















วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

"ห้วยน้ำดัง"...หมอกสวยอย่างนี้ไม่แวะพัก...ได้ไง

 
        ผมยังรู้สึกประทับใจกับสายหมอกยามเช้า...บนดอยกิ่วลม ซึ่งเป็นจุดชมวิวของอุทยานแห่งชาติ"ห้วยน้ำดัง"ไม่สร่างซา ทริปการเที่ยวภาคเหนือปีนี้จึง จัด"ห้วยน้ำดังไว้ในโปรแกรมการท่องเที่ยวด้วย ซึ่งในโปรแกรมจะเป็นจุดแรก...ที่เราจะไปกางเต้นท์พัก สำหรับทริปก่อนจะเดินทางสู่"ปาย"...           
       ผมขับรถจากพัทยาถึงเชียงใหม่...ประมาณบ่ายโมงครับ... ผมจำไม่ได้แล้วครับว่าออกเดินทางตั้งแต่เวลาเท่าไหร่...เราแวะกินข้าวที่เชียงใหม่ เสร็จแล้วเตรียมตัวเดินทางไปพักค้างแรมคืนแรกที่จุดหมาย "ห้วยน้ำดัง"ทันที  ผมออกจากเชียงใหม่โดยไปตามทางหลวงหมายเลข 107 ผ่านประตูช้างเผือก มุ่งหน้าไปทางอำเภอแม่ริม ก่อนถึงอำเภอแม่แตง(แยกตลาดแม่มาลัย) จะมีแยกซ้ายมือเชื่อมต่อกับทางหลวงหมายเลข 1095 เส้นทางมุ่งหน้าสู่อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประมาณกิโลเมตรที่ 65-66 ก็จะพบทางแยกขึ้นไปยังที่ทำการอุทยาน ห้วยน้ำดัง เราโชคดีมากครับที่เราขึ้นมาถึงห้วยน้ำดังเร็วแต่ก็ทุลักทุเลน่าดู เพราะทางขึ้นอุทยานรถติดมาก เพราะใครๆ ก็ต้องการไปพักที่นี่ครับ ถ้าเราเดินทางช้าอีกนิดเดียวรับรองไม่มีที่กางเต้นท์แน่นอนครับ...แต่ผมสังเกตุเห็นบริเวณกางเต้นท์จะมีที่ว่างครับ...แต่ทางเจ้าหน้าที่อุทยานบอกว่ามีคนโทรมาจองล่วงหน้าแล้ว...เราไม่ว่ากันครับ...


       เสน่ห์ของ "ห้วยน้ำดัง" นั้นอยู่ที่วิวยามพระอาทิตย์อัสดง และวิวยามพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอกสีขาวโพลน ซึ่งเราจะเดินทางช่วงฤดูหนาวครับ ถึงจะได้ดื่มด่ำวิวได้แสนประทับใจ...
        วันแรกที่ห้วยน้ำดังหลังจากได้ที่กางเต้นท์ซึ่งเป็นตะพักด้านล่าง...เรียบร้อยแล้ว เราก็เตรียมตัวประกอบอาหาร ซึ่งเราเตรียมกันไปเองครับ บริเวณที่เราประกอบอาหารเป็นลานสามารถที่จะชมวิวพระอาทิตย์อัสดงได้ด้วย...กินข้าวไปด้วยพร้อมกับดื่มด่ำวิวความงามของพระอาทิตย์อัสดงที่มีวิวของป่าสนเขาเป็นฉากหน้าทั้งสวยงามแปลกตาและแสนโรแมนติก เด็กๆก็สามารถเดินไปซื้อขนม บนร้านสวัสดิการซึ่งอยู่ไม่ห่างจากจุดกางเต้นท์มากครับ...กางคืนเราก็มีกิจกรรมนอนดูดาวหน้าเต้นท์ รับลมหนาวครับ...พอเต็มอิ่มก็เข้านอน...ฟังเสียงฮอริคอปเตอร์ลงจากเต้นข้างๆ...(เสียงกรน)

ฉากหลังในการประกอบอาหารจะเห็นพระอาทิตย์อัสดงครับ

        ยามเช้าของวันรุ่งขึ้น ผมตื่นแต่เช้าเลยครับเพื่อเดินไปชมวิวบนดอยกิ่วลม...(พระอาทิตย์ขึ้น) ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของอุทยานฯ ซึ่งสามารถเห็นยอดเขาได้ถึง 9 ยอด ของอุทยานฯ จะเห็นทะเลหมอกปกคลุมพื้นที่ราบด้านล่าง มองเห็นเฉพาะยอดเขาที่สูงเหนือก้อนเมฆสีขาวตัดกับแสงสีส้มของพระอาทิตย์ขึ้น ผมว่าเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามจุดหนึ่งของประเทศไทยนะ...บนดอยกิ่วลมจะมีแปลงปลูกไม้เมืองหนาวหลากสีสัน ป่าสนเขาและป่าเบญจพรรณสวยงามที่เป็นเอกลักษณ์ของห้วยน้ำดัง...ในช่วงที่ผมเดินจากดอยกิ่วลมก็ยังดื่มด่ำกับวิวทิวทัศน์ที่ตระการตา ไม่แพ้ยามเช้าตรู่ เพราะสามารถจะมองเห็น ยอดดอยต่างๆสวยงามชัดเจน

วิวทะเลหมอกยามเช้าครับมองจากไม่ห่างจากที่กางเต้น
        ทริปนี้สรุปผมเดินไปดอยกิ่วลม ชมวิวคนเดียวปลุกลูก ปลุกภรรยาไม่ยอมตื่น เพราะมันหนาวววว....หน่ะสิ...ก่อนกับถึงที่กางเต้นท์เดินตามถนนเห็นดอกซากุระบานสะพรั้งเลยเก็บรูปมาฝากครับ...ต่อจากนั้นเก็บเต้นท์เดินทางไป"ปาย"ต่อครับ

ดอก"ซากุระ"ทางเดินไปดอยกิ่วลม


พระอาทิตย์อัสดงตรงจุดกางเต้นครับ






วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ตักบาตร...ที่อัมพวา

            ผมยืนขายของ...ที่ตลาดนัด มองเห็นผู้คนใส่เสื้อ อัมพวาเดินผ่านหน้าร้านกันเยอะมาก ผมว่าคนคงจะไปเที่ยวกันเยอะน่าดู(กระแสแรง) ภรรยาของผมเคยชวนไปเที่ยวหลายครั้งแต่ผมก็พูดเลี่ยงเรื่อยเพราะผมเป็นคนที่ไม่ชอบไปเที่ยวในที่มีผู้คนอยู่แออัด แย่งที่จอดรถ แย่งที่กิน แย่งกันเข้าห้องน้ำ และแย่งที่พักกันฯลฯ...และอีกอย่างไม่ชอบเที่ยวตามกระแสด้วย...แต่พอโดนชวนบ่อยๆ และดูภาพจาก อีเมลที่ภรรยาส่งให้ดู เห็นมีโปรแกรมเยอะดี และดูแล้วยังมีกลิ่นไอของความเป็นไทยและวิถีไทยอยู่ใน อัมพวา เป็นอะไรแบบย้อนยุคอนุรักษ์ของเก่า มีวัฒนธรรมการตักบาตรทางเรือ มีกิจกรรมดูหิ่งห้อย ฯลฯ เลยก็ตัดสินใจว่าวันหยุดเราจะไปเที่ยวอัมพวากัน เลยโทรจองที่พักเป็นโฮมสเตร์ไว้...


ที่พักริมคลองครับ

            พอถึงกำหนดวันไปเที่ยวผมออกจากบ้านที่พัทยา ประมาณ 7 โมงเช้าครับ ผมแวะเที่ยวไปเรื่อยๆครับ เพราะผมไม่เคยขับรถมาเที่ยวแถวนี้เลยครับ(สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม) ผมแวะเที่ยวสถานตากอากาศบางปูก่อนครับ  แล้วก็เข้าไปเที่ยวในดอนหอยหลอดไปกินข้าวครับ...เรียบร้อยแล้วเราก็เข้าที่พัก ที่อัมพวาครับ ผมถึงที่พักประมาณบ่ายโมงครับ เลยถามทางที่พักว่ามีเรือข้ามฟากไปเที่ยวตลาดน้ำอัมพวาหรือเปล่า...โชคดีมากครับท่าจอดเรืออยู่ใกล้ๆกับที่พักไม่ห่างกันมาก...ผมและครอบครัวนั่งเรือโดยสารข้ามฟากไปยังฝั่งตลาดน้ำอัมพวาประมาณบ่ายสองโมงครับ...พอขึ้นท่าที่ร้านแฝดอินจัน ก็เดินอีกหน่อยก็ถึงตลาดน้ำอัมพวาแล้วหล่ะครับ...

นั้งเรือโดยสารข้าฟากไปตลาดน้ำอัมพวาครับ
           โอโห...ทำไมคนถึงเยอะอย่างนี้...เดินกันเบียดเสียดเยอะแยะวุ่นวาย สมแล้วครับที่"อัมพวา" เป็นสถานที่เที่ยวอันดับหนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวนิยมไปมากที่สุดของจังหวัดสมุทรสงครามซึ่งเป็นจังหวัดริมน้ำ เล็กๆที่ได้รับรางวัลยกย่องให้เป็นมรดกแห่งเอเชียแปซิฟิก จากองค์กรยูเนสโก้ในด้านการอนุรักษ์วิถีชีวิต และสถาปัตยกรรมเก่าแก่ของชุมชนไว้ได้อย่างดี อัมพวา จึงเป็นเมืองอันสุนทรีย์น่าไปเที่ยวชม...


บรรยากาศริมฝั่งคลองอัมพวาครับ
             ผมเดินเที่ยวเป็นช่วงแดดร่มลมตกครับ...มีทางเดินเลาะได้ทั้งสองฝั่งคลอง ผมเดินชม เดินชิมอาหาร จากร้านค้าและเรือพายชาวบ้านที่มีวางขายกันอยู่มากมายหลากหลายชนิด  ไว้ว่าจะเป็นอาหารแห้ง ขนมหวาน เสื้อผ้า ของเล่น ฯลฯ โดยจะเริ่มขายกันตั่งแต่ช่วงบ่ายถึงค่ำ  บรรยากาศแต่ละร้านก็มีทั้งแบบย้อนยุคจนถึงร้านสมัยใหม่  ตามลักษณะสินค้าที่นำมาวางขาย ช่วงเย็นๆ จะมีเสียงเพลงย้อนยุคขับกล่อมผู้เดินเที่ยวด้วยครับ ช่วยให้ตลาดน้ำอัมพวามีชีวิตชีวายิ่งขึ้น...

            หลังจากอิ่มท้อง เดินเที่ยวได้ของฝากถูกใจแล้ว เราก็นั่งเรือโดยสารกลับไปยังที่พักครับ...คืนนี้ยังมีกิจกรรมอีก คือ กิจกรรมนั่งเรือชมหิ่งห้อยตามคลองและแม่น้ำแม่กลองครับ ซึ่งผมให้เรือมารับถึงที่พักประมาณ 2 ทุ่มครับ(เหมาลำเฉพาะครอบครัวครับ) ซึ่งการออกชมหิ่งห้อยจะได้บรรยากาศอันโรแมนติกในยามเย็นของ แม่น้ำแม่กลอง ชมเรือนชาวบ้านริมคลอง และชมหิ่งห้อยตัวน้อยส่องแสงใต้ต้นลำพู แต่เวลาไปชมหิ่งห้อยอย่าส่งเสียงดังนะครับ หิ้งห้อยจะบินหนีและรบกวนชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียงด้วย...พอชมเต็มอิ่มก็กลับที่พักครับ


ทานอาหารริมคลองตลาดน้ำอัมพวาครับ

             ช่วงเช้า...เป็นช่วงกิจกรรมที่สำคัญครับ คือตักบาตรทางเรือ ผมจะตื่นแต่เช้าเดินมาระเบียงที่พักเพื่อเพื่อรอตักบาตรพระและนั่งดู วิถีชีวิตชาวบ้านริมคลองช่วงนี้น้ำจะขึ้นสูงครับ น้ำไหลสะอาด ไม่สกปรกจะเห็นชาวบ้านนุ่งผ้าถุงลงมาอาบน้ำในคลอง เห็นลุงคนหนึ่งขับเรือมาตกกุ้งแม่น้ำหน้าที่พัก ดูก็ได้บรรยากาศชาวบ้านดีครับ นั่งดูไปด้วยและกินปาท่องโก๋กาแฟร้อนที่ทางรีสอร์ตจัดให้ครับ...ไม่นาน... พระก็พายเรือมารับบิฑบาตรครับ ทริปนี้ได้ทั้งความสุข ได้ทั้งบรรยากาศริมคลองที่หาสัมผัสไม่ได้อีกแล้วแถวบ้านเรา...ผมนึกว่าอัมพวาจะวุ่นวาย คนไปเพราะเห่อตามกระแส...แต่ไม่ใช่แล้วครับ "อัมพวา" เป็นที่ ที่น่าไปสัมผัสจริงๆครับ ...แล้วพบกันใหม่ครับ "อัมพวา" 




ตักบาตรพระตอนเช้า โดยพระจะพายเรือมาบิฑบาตรครับ

จะเห็นวิถีชาวบ้านอาบน้ำริมคลองครับ


ลุงคนนี้มาตกกุ้งอยู่ด้านหน้าที่พักตอนเช้าครับ




บรรยากาศยามเช้าหน้าระเบียงที่พักครับ



รับประทานกาแฟปาท่องโก๋ครับ